เมื่อช่วงต้นเดือน กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา P-Series อัปเดตฟีเจอร์ :Text-to-Speech, และการปรับปรุงอื่นๆ รวมถึงฟีเจอร์ Call Flow Designer ที่ช่วยให้คุณควบคุมเส้นทางสายเรียกเข้าและข้อความเสียงได้อย่างยืดหยุ่น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ถอดความข้อความเสียง ปรับปรุงระบบคิวสายและอื่นๆ แต่ในยุคที่ธุรกิจเติบโตเร็ว ลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น การกำหนดเส้นทางสายแบบเดิมที่อิงกฎคงที่ (Static Routing) เริ่มไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะเมื่อมีจำนวนเส้นทางการโทรเพิ่มขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยสาย การจัดการก็ยิ่งยุ่งยาก เสี่ยงต่อความผิดพลาด และไม่ตอบโจทย์การทำงานที่ยืดหยุ่นและอัตโนมัติในปัจจุบัน ลองจินตนาการสถานการณ์จริงเหล่านี้: ลูกค้า VIP โทรเข้ามาในเวลาสำคัญ แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนติดสาย — คุณจะสามารถแทรกสายหรือแจ้งเตือนหัวหน้าทีมได้ทันทีหรือไม่? วันศุกร์มีโปรโมชั่นพิเศษ ระบบสามารถเล่นข้อความโปรโมชันอัตโนมัติก่อนรับสาย โดยไม่ต้องตั้งค่าใหม่ทุกครั้งได้หรือเปล่า? คุณมีระบบ CRM ที่ติดตามสถานะการชำระเงิน — ระบบ PBX สามารถคัดกรองและส่งสายไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่เฉพาะทางตามสถานะลูกค้าได้หรือไม่? คำถามเหล่านี้สะท้อนว่า ธุรกิจไม่ได้ต้องการแค่ “การโอนสาย” แต่ต้องการ “ระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาด” ที่ตอบโจทย์กระบวนการทำงานแบบไดนามิก ซึ่งนั่นคือบทบาทของ Call Flow Designer จาก Yeastar ที่เข้ามาปลดล็อกข้อจำกัดเดิม Call Flow Designer คืออะไร? Yeastar Call Flow Designer (CFD) คือเครื่องมือสร้างกระบวนการรับสายอัตโนมัติแบบภาพ (Visual Call Automation) ที่ถูกรวมอยู่ในระบบโทรศัพท์ Yeastar P-Series Phone System โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือใช้ซอฟต์แวร์จากภายนอกให้ยุ่งยาก ด้วยอินเทอร์เฟซแบบ ลากแล้ววาง (Drag-and-Drop) ที่ใช้งานง่าย CFD ช่วยให้ผู้ใช้ออกแบบโฟลว์การจัดการสายโทรศัพท์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงื่อนไข (Conditions), ลูป (Loops) หรือตัวแปร (Variables) เพื่อสร้างตรรกะที่ซับซ้อนและยืดหยุ่น CFD ใช้ฟังก์ชันพื้นฐานของระบบ PBX เช่น: Business Hours (เวลาทำการ) IVR (ระบบตอบรับอัตโนมัติ) เมนูเลือกเส้นทางสาย ข้อความเสียง โทรตามเบอร์โดยตรง (Dial by Number) Text-to-Speech (แปลงข้อความเป็นเสียง) และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น CRM และ ฐานข้อมูล ได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้สามารถตั้งค่าฟังก์ชันขั้นสูง เช่น: การตรวจสอบเบอร์ VIP ก่อนโอนสาย ยืนยันตัวตนหรือ PIN ของผู้โทร การโอนสายเป็นกลุ่มตามเงื่อนไข การแจ้งเตือนทางอีเมลแบบอัตโนมัติ ทั้งระหว่างหรือหลังจบการโทร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการรับสาย → กำหนดเส้นทางแบบไดนามิก → ไปจนถึงการจัดการหลังจบสาย Call Flow Designer จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถรับมือกับทุกสายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีและรวดเร็วให้แก่ลูกค้าในทุกสถานการณ์ จุดเด่นของ Call Flow Designer อินเทอร์เฟซแบบลากและวางในตัว (Built-in, Drag-and-Drop Interface) ออกแบบง่าย ใช้งานสะดวก ไม่ต้องเขียนโค้ด บล็อกคำสั่งสำเร็จรูปกว่า 22 แบบ (22+ Native Action Blocks) ครอบคลุมฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกการจัดการสาย เชื่อมต่อกับ CRM, ฐานข้อมูล และ API สำหรับนักพัฒนาได้ รองรับการทำงานร่วมกับระบบภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น มีเทมเพลตพร้อมใช้งาน (Ready-to-use Templates) ประหยัดเวลาในการสร้างโฟลว์ด้วยตัวอย่างที่พร้อมใช้ รองรับการนำเข้าและส่งออกอย่างสะดวก (Practical Import & Export Support) ง่ายต่อการจัดการและแชร์โฟลว์ระหว่างระบบหรือผู้ใช้งาน ส่วนสำคัญของ Call Flow Designer เพื่อเข้าใจการทำงานของ Call Flow Designer อย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างหลักและบทบาทของแต่ละส่วนที่ใช้ในการสร้างโฟลว์การโทร เช่น ToolBox (กล่องเครื่องมือ) ToolBox คือศูนย์รวมของบล็อกคำสั่งสำเร็จรูปที่เป็นฟังก์ชันการทำงานหลักทั้งหมดของระบบ PBX โดยแต่ละบล็อกแสดงถึงองค์ประกอบพื้นฐานที่สามารถนำมาใช้ในการออกแบบโฟลว์ เช่น IVR (ระบบตอบรับอัตโนมัติ) Menu (เมนูเลือกเส้นทางสาย) Prompt (ข้อความเสียง) Business Hour (เวลาทำการ) และอื่น ๆ อีกมากมาย ผู้ใช้งานสามารถลากบล็อกเหล่านี้ลงในผังการทำงาน เพื่อกำหนดตรรกะและลำดับการดำเนินงานของสายโทรศัพท์ได้อย่างยืดหยุ่นและทรงพลัง Design Area (พื้นที่ออกแบบ) Design Area คือพื้นที่หลักสำหรับสร้างแผนผังการทำงานของสายโทรศัพท์ในรูปแบบภาพ (Visual Flow) ผู้ใช้สามารถลากและวางบล็อกฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น IVR (ระบบตอบรับอัตโนมัติ) Prompts (ข้อความเสียง) Transfers (โอนสาย) รวมถึงองค์ประกอบด้านตรรกะ เช่น Conditions (เงื่อนไข) Loops (การวนซ้ำ) Variables (ตัวแปร) มาประกอบกันเพื่อกำหนดพฤติกรรมของการรับสายในแต่ละขั้นตอนได้อย่างอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดที่ซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปก็สามารถออกแบบระบบอัตโนมัติได้ด้วยตัวเอง Components (องค์ประกอบ) Components คือหน่วยพื้นฐานของ Call Flow Designer ที่ใช้ในการสร้างโฟลว์การทำงาน โดยแต่ละ Component ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไอคอนกราฟิกเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของโมดูลการทำงานจริงภายในระบบ PBX ตัวอย่างเช่น: IVR Component แทนระบบเมนูเสียงหลายระดับ (Multi-level Voice Menu) Business Hour Component แทนตรรกะการกำหนดเส้นทางตามช่วงเวลา (Time-based Routing) องค์ประกอบเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการออกแบบภาพและฟังก์ชันการทำงานจริงของระบบโทรศัพท์ ช่วยให้สามารถสร้างระบบอัตโนมัติได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง Call Flow Designer ทำงานอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจส่วนประกอบพื้นฐานของ Call Flow Designer แล้ว การสร้างโฟลว์รับสายอัตโนมัติแบบครบวงจรก็กลายเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ลากองค์ประกอบต่าง ๆ ลงใน Design Area แล้วจัดเรียงตามลำดับการทำงานที่ต้องการ โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลักดังนี้: ขั้นที่ 1: การจัดการก่อนรับสาย (Pre-call Handling) กำหนดกฎต่าง ๆ ตามหมายเลขผู้โทร (Caller ID), หมายเลข DID ที่โทรเข้า, เวลาทำการ และอื่น ๆ เพื่อกำหนดเส้นทางสายเข้าแบบไดนามิกตามเวลา สถานที่ หรือข้อมูลผู้โทร ขั้นที่ 2: การจัดการระหว่างการโทร (In-call Handling) ใช้คำสั่ง เช่น ข้อความเสียง (Prompts), เมนู (Menus), การรับข้อมูลจากผู้โทร (User Input) และการโอนสาย (Transfer) เพื่อควบคุมการโทรในเวลาจริง ตั้งค่าตรรกะแบบเส้นตรง (linear), แบบแยกทางเลือก (branching) หรือแบบวนซ้ำ (looped) ตามลักษณะการทำงาน ขั้นที่ 3: การจัดการหลังจบสาย (Post-call Actions) กระตุ้นการติดตามผล เช่น การส่งอีเมล การส่งข้อมูลไปยังระบบ CRM หรือการสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติด้วย Text-to-Speech โดยส่วน Developer Blocks ช่วยขยายขีดความสามารถของโฟลว์เกินกว่าการโทรเพียงอย่างเดียว ขั้นที่ 4: บันทึกและนำไปใช้งาน (Save and Deploy) เมื่อออกแบบโฟลว์เสร็จแล้ว เพียงบันทึกและเผยแพร่ โฟลว์การโทรจะถูกนำไปใช้กับหมายเลขโทรศัพท์หรือจุดรับสายที่กำหนดไว้ โฟลว์แต่ละอันสามารถดูได้ในรูปแบบภาพ แก้ไข และปรับแต่งได้ตามต้องการ การจัดการสายโทรศัพท์สำหรับสำนักงานหลายแห่ง (Multi-site Offices) ความต้องการของคุณ: คุณมีสำนักงานหลายสาขากระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ โดยแต่ละแห่งมีหมายเลข DID และเวลาทำการเฉพาะของตัวเอง คุณต้องการให้สายโทรเข้าถูกตอบในช่วงเวลาทำการ และเปลี่ยนเส้นทางสายอัตโนมัติเมื่ออยู่นอกเวลาทำการ Call Flow Designer ช่วยได้อย่างไร: ด้วย CFD คุณสามารถกำหนด Business Hour ให้กับหมายเลข DID แต่ละสาขาได้อย่างแม่นยำ เมื่ออยู่ในช่วงเวลาทำการ สายจะถูกจัดการตามโฟลว์ปกติ แต่หากนอกเวลาทำการ ระบบจะเปลี่ยนเส้นทางสายไปยัง IVR พร้อมข้อความเสียงเฉพาะ เช่น “ขอบคุณที่โทรหาเรา” เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่อย่างมืออาชีพ องค์ประกอบสำคัญ: DID Matching (การจับคู่หมายเลขโทรเข้า) Business Hour (เวลาทำการ) IVR (ระบบตอบรับอัตโนมัติ) Prompt (ข้อความเสียง) Linear Call Flow สำหรับการกระจายสายอย่างรวดเร็ว ความต้องการของคุณ: คุณต้องการระบบที่เรียบง่ายและรวดเร็วในการกระจายสายเข้าไปยังทีมงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายขาย หรือฝ่ายสนับสนุน โดยไม่ทำให้ลูกค้าต้องรอนาน Call Flow Designer ช่วยได้อย่างไร: ด้วยการลากและวาง Menu และ Transfer คุณสามารถสร้างโฟลว์สายแบบเส้นตรง (Linear Call Flow) ได้ภายในไม่กี่นาที เช่น กำหนดให้ลูกค้ากด 1 เพื่อไปฝ่ายขาย กด 2 เพื่อไปฝ่ายสนับสนุน และหากไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย ระบบจะโอนไปยัง Voicemail โดยอัตโนมัติ ช่วยให้การกระจายสายเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย องค์ประกอบสำคัญ: Menu (เมนูเลือกทางเลือก) Queue (คิวรอสาย) User Input (การรับข้อมูลจากผู้โทร) Voicemail (ฝากข้อความเสียง) สร้างผู้ช่วยรับสายอัตโนมัติด้วยเสียง ความต้องการของคุณ: คุณต้องการระบบที่สามารถทักทายผู้โทร รวบรวมข้อมูลสำคัญ และจัดเส้นทางสายตามข้อมูลที่ได้รับ โดยไม่ต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่รับสายตั้งแต่ต้น Call Flow Designer ช่วยได้อย่างไร: คุณสามารถสร้างผู้ช่วยรับสายอัตโนมัติที่ทำงานด้วยเสียงได้อย่างง่ายดาย ด้วยส่วนประกอบสำคัญ เช่น Text-to-Speech, Prompt, User Input และ Developer API ระบบสามารถถามข้อมูลลูกค้า เช่น ความต้องการ ระดับความเร่งด่วน หรือข้อมูลติดต่อ และโอนสายไปยังทีมที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ช่วยให้กระบวนการรับสายมีความฉลาดและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น องค์ประกอบสำคัญ: Text-to-Speech (แปลงข้อความเป็นเสียง) Prompt (ข้อความเสียง) User Input (รับข้อมูลจากผู้โทร) Transfer (โอนสาย) Developer API (เชื่อมต่อระบบสำหรับนักพัฒนา) Call Flow Designer ไม่เพียงแต่สร้างระบบโอนสายที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานได้อย่างทันสมัยและตอบโจทย์ทุกสถานการณ์การสื่อสารอย่างมืออาชีพ สรุป Call Flow Designer คือหัวใจใหม่ของระบบ PBX ยุคดิจิทัล ช่วยให้ธุรกิจของคุณจัดการสายโทรได้แบบ ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และอัตโนมัติ ไม่เพียงโอนสาย แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ เหนือกว่า สำหรับลูกค้าทุกคน